phone’s diary

โทรศัพท์มือถือ ไอที เทคโนโลยี

สเปคส่วนไหนเป็นหัวใจสำคัญ ของการเลือกซื้อมือถือสำหรับเล่นเกมกันแน่

ตั้งแต่ปี 2017 ที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนก็ถูกผลิตให้มีสเปคที่เร็วและแรงมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผล (CPU), RAM หรือแม้แต่การ์ดจอ (GPU) เองก็ตาม ดังนั้น ในวันนี้เราจะมาบอกถึงส่วนประกอบสำคัญที่ส่งผลให้มีความเร็วมากที่สุด และอาจจะทำให้หลายคนเลือกซื้อมือถือสำหรับเล่นเกมเครื่องใหม่ได้ง่ายขึ้น

 

มือถือสำหรับเล่นเกม

 

หน่วยประมวลผล (CPU) / การ์ดจอ (GPU)

มากันที่ส่วนแรกที่สำคัญที่สุดในเรื่องของความเร็วบนสมาร์ทโฟนอย่าง CPU ที่เราต้องดูเรื่องของจำนวนคอร์ (Core) และความเร็วเป็นหลัก ซึ่งตัวเลขยิ่งสูงก็จะยิ่งดีนั่นเอง

รวมไปถึง GPU ที่ต้องเข้ากันได้กับ CPU เช่น Snapdragon ที่ถือว่าเป็น CPU ที่ดีที่สุดสำหรับแอนดรอยด์ ซึ่งทำงานร่วมกับ GPU ในชื่อ Adreno ที่พัฒนาโดย Qualcomm เหมือนกัน ส่งผลให้มีความเสถียรในการใช้งานและเล่นเกมมากที่สุด

 

เรียงซีรี่ย์ Qualcomm Snapdragon จากตัวท็อปไปล่างสุด (การ์ดจอ Adreno)

  • ซีรี่ย์ 8xx จะเหมาะกับการเล่นเกมกราฟิกหนักๆ และเปิดภาพ HD พร้อม FPS สูงได้
  • ซีรี่ย์ 6xx จะสามารถเล่นเกมกราฟิกหนักๆ ได้ แต่อาจไม่สามารถปรับภาพ HD ได้เท่านั้นเอง
  • ซีรี่ 4xx / 2xx ส่วนใหญ่จะอยู่ในสมาร์ทโฟนราคาประหยัด เน้นการใช้งานทั่วไปและเกมที่มีกราฟิกเบาๆ

เรียงซีรี่ย์ Samsung Exynos จากตัวท็อปไปล่างสุด (การ์ดจอ Mali)

  • ซีรี่ย์ Exynos 9 (9810/8895) จะอยู่ในสมาร์ทโฟนตัวท็อป มีการทำงานและความเร็วใกล้เคียงหรือมากกว่า Snapdragon 8xx
  • ซีรี่ย์ Exynos 7 (9610/7885/7880) จะอยู่ในสมาร์ทโฟนระดับกลางของ Samsung เช่น A 2017 Series ที่ถือว่าเล่นเกมภาพกราฟิกระดับกลางได้ดี และใช้งานทั่วไปได้อย่างไหลลื่น
  • ซีรี่ย์ Exynos 7 Octa (7420/7870/7580) จะฝังอยู่รุ่นกลางไปถึงล่างอย่างเช่น J Series ซึ่งทำงานทั่วไปได้ไหลลื่น แต่อาจจะไม่เหมาะกับการเล่นเกมสักเท่าไหร่

ในแบรนด์ของ Huawei และ Honor ซึ่งจะมีหลายซีรี่ย์มากมาย ซึ่งเราแบ่งจากรุ่นหลักได้คร่าวๆ ดังนี้

  • Kirin 970 / 960 เป็นชิปเซ็ตที่ใช้กับตัวท็อปของของ Huawei และ Honor ซึ่งเหมาะกับการเล่นเกมและใช้งานทั่วไปเป็นอย่างมาก
  • Kirin 659 จัดอยู่ในสมาร์ทโฟนระดับกลางและราคาประหยัด ซึ่งสามารถเล่นเกมได้ในระดับกลาง

ทั้งนี้ ก็ยังมีหน่วยประมวลผล Apple A Series จากฝั่ง iOS ที่ใช้กับ iPhone ทุกรุ่น ซึ่งความเสถียรถือว่าดีที่สุดในตอนนี้ และเป็นคู่แข่งในเรื่องความเร็วกับ Snapdragon เลยทีเดียว

RAM

มาต่อกันที่ส่วนสำคัญที่รองลงมาจาก CPU และ GPU อย่าง RAM กันบ้าง โดย RAM ที่เยอะนั้นจะช่วยเรื่องการเก็บข้อมูลชั่วคราวของเกมต่างๆ ทำให้ไม่เกิดอาการค้างเท่านั้น และเราก็แนะนำให้ขนาดของ RAM มีความจุ 2GB ขึ้นไปหากเราต้องการเล่นเกมกราฟิกหนักๆ

 

ก็เป็นส่วนส่วนหลักๆ ที่สำคัญสำหรับมือถือเล่นเกมนะคะ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กันเรียงตามลำดับ ดังนี้

  • CPU + GPU
  • RAM
  • หน่วยความจำภายใน (ROM)
  • ความจุแบตเตอรี่
  • ระบบปฏิบัติการ
  • หน้าจอแสดงผล

 

แหล่งที่มา news.siamphone.com/news-35915.html

3 เทรนด์มาแรงแห่งวงการมือถือสมาร์ทโฟนไทย ในปี 2018

มือถือ

 

ซื้อของและรับจ่ายด้วย QR CODE กันทั่วไทย

การใช้มือถือจ่ายเงินได้ฮิตขึ้นมากในไทยด้วยระบบ QR Code ซึ่งปลายปี 2017 ที่ผ่านมาเป็นช่วงแจ้งเกิด และน่าจะฮิตสุดๆ ในปีใหม่ 2018 นี้ ผู้ให้บริการหลักก็คือธนาคารทั้งหลาย รวมถึงบริษัทบัตรเครดิต ที่จะออกรหัส QR Code ให้ทางร้านค้าติดไว้ในร้านส่วนฝ่ายผู้ซื้อ ก็ต้องโหลดแอพฯ Mobile banking ของธนาคารที่ตัวเองมีบัญชีอยู่ จากนั้นเมื่ออยู่ในร้านแล้ว ก็สามารถเปิดมือถือ เปิดแอพฯ ของธนาคารนั้นๆ แล้วเล็งไปบนแผ่นป้ายเป็นการจ่ายเงินได้เลย

 

ปลดล็อคจอมือถือ และยืนยันตัวตนในแอพฯ และธุรกรรมต่างๆ ด้วยอวัยวะในร่างกาย (BIOMETRICS AUTHENTICATION)

เริ่มจากที่มือถือรุ่นใหม่ๆ ให้ปลดล็อคหน้าจอด้วยลายนิ้วมือ เพื่อความสะดวกไม่ต้องรูดปัดหน้าจอ และไม่ต้องจำไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่าน และเพื่อความปลอดภัยคนอื่นเข้าใช้มือถือเราไม่ได้ จากนั้นก็เริ่มมีมือถือบางรุ่นที่ให้ปลดล็อคหน้าจอด้วยใบหน้า (Face ID) ได้ หรือไม่ก็ใช้ลักษณะม่านตา (IRIS Scan) ช่วยเพิ่มความสะดวกไปอีกขั้น โดยเฉพาะในเมืองหนาวที่คนส่วนใหญ่ต้องใส่ถุงมือจึงไม่สะดวกต่อการสแกนลายนิ้วมือ โดยรวมแล้วมือถือรุ่นใหม่ๆ และแอพใหม่ๆ ในปี 2018 นี้เป็นต้นไป น่าจะพากันรองรับการยืนยันตัวตนแบบ Biometric ในเรื่องต่างๆ มากมายและหลากหลายขึ้น

 

MOBILE A.I. (ARTIFICIAL INTELLIGENCE) หรือ MACHINE LEARNING

สำหรับวงการมือถือแล้ว “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ A.I. คือการที่ระบบและแอพฯ ต่างๆจะช่วยเราทำทุกสิ่ง และจัดการทุกอย่างได้ “เป๊ะ” ขึ้น โดยออกแรงน้อยลง เสียเวลาน้อยลง ตัวอย่างเช่นเมื่อเราถ่ายรูปแล้วเลือกเซฟ เจ้าระบบ A.I. ในแอพฯ นั้นก็จะรู้เลยว่าในรูปนั้นมีเราอยู่ด้วย และมีน้องหมาด้วยหนึ่งตัว แล้วก็ถามเราว่าจะสร้างอัลบั้มน้องหมามาเก็บรูปนั้นมั้ย ? หรือจะเก็บไว้ในอัลบั้มเราเองเลย

A.I. ในมือถือไม่ได้มีแค่ในแอพฯ จัดการรูป แต่จะช่วยทั้งการรับคำสั่งด้วยเสียง โดยสามารถแยกแยะเสียงเราและเสียงคนอื่นๆ ได้หรือการแนะนำเพลงใหม่ๆ ที่เราน่าจะชอบ โดยดูจากเพลงเดิมๆ ที่เราชอบฟัง รวมถึงการปรับแต่งหน้าจอทั้งความสว่าง ไอคอน และสิ่งต่างๆ ให้เอง โดยดูจากพฤติกรรมการปรับของเราเป็นต้น

แหล่งที่มา https://www.whatphone.net/article/3-mobile-trends-to-out-for-in-2018/

 

 

ย้อนรอยไปดูวิวัฒนาการของโทรศัพท์ ตั้งแต่ 1G 2G 3G 4G

ในยุคที่ใคร ๆ ก็ใช้โทรศัพท์มือถือนั้น เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้รอบด้าน ทั้งการติดต่อสื่อสาร หรือด้านบันเทิงต่างๆ อย่างครบครันแล้ว สิ่งที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยนี้ก็คือ สัญญาณประเภทข้อมูล (Data) ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อข้อมูลที่หลากหลายยิ่งขึ้น เรามักจะได้ยินศัพท์ที่พูดกันว่า 3G บ้าง 4G บ้าง เผลอๆ มี 5G ให้ได้ยินกันแล้ว วันนี้เราจะพาไปย้อนรอยดูวิวัฒนาการของโทรศัพท์ ตั้งแต่ 1G 2G 3G 4G กันค่ะ

f:id:n-numprik01:20181115171608j:plain

 

ยุค 1G เป็นยุคแรกที่มีการสื่อสารในรูปแบบแค่การโทรเข้าและโทรออกเท่านั้นซึ่งจะใช้งานได้เฉพาะ ในตัวเมืองใหญ่ๆเท่านั้น รูปลักษณ์ภายนอกก็ดูใหญ่เทอะทะใช้งานในระบบแบบอนาล็อก เป็นความนิยมในหมู่คนขับรถระยะทางไกลเพื่อติดต่อประสานงาน แล้วยังเป็นการเริ่มต้นในการใช้อุปกรณ์ประเภทนี้ต่อพ่วงในรถยนต์มาจนถึงยุคนี้อีกด้วย

ยุค 2G เริ่มมีความหลากหลายในการเลือกใช้โทรศัพท์และมีการบริการในด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้น มีการรับส่งการสื่อสารได้มากว่าการโทรเข้าและโทรออก เช่น การส่งSMS การดาวน์โหลด รูปภาพกราฟฟิคมา ใช้บนหน้าจอโทรศัพท์ หรือการโหลด ริงโทนมาใช้ การทำเสียงเพลงรอสาย แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องการรับส่งข้อมูลได้ไม่มากนัก

ยุค 2.75G จะพัฒนาในด้านการเปลี่ยนจากระบบ GPRS มาเป็นในระบบEDGE นั่นเอง มีความเร็วในการส่งข้อมูลได้มากกว่า GPRS ประมาณ 3 เท่าหรือมีความเร็วสูงสุดประมาณ 384 kbps อยู่ในช่วงที่กำลังจะเตรียมเปลี่ยนผ่านเพื่อเข้าสู่ยุค 3G

ยุค 3G เป็นยุคที่ได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และมีความหลากหลายในการได้เลือกใช้โทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็น IPhone BlackBerry ที่กำลังมาแรงมาก ในยุคนั้น เป็น เทคโนโลยีที่ผสมผสานในการรับส่งข้อมูลต่างๆ การใช้อินเตอร์เน็ตแบบเชื่อมต่อ ข้อมูลในระบบไร้สาย (Wireless) แถมยังมีการถ่ายโอนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นการถ่ายโอนแบบ บลูทูธ หรือการส่งข้อมูล ทาง MMS ระบบเสียงเรียกเข้าแบบ MP3 รับส่งไฟล์ที่ใหญ่ขึ้นได้ เช่น การดาวน์โหลดเพลง หรือ การวีดีโอคอนเฟอเร้นซ์  และการพัฒนาแอปพลิเคชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งไลน์ ติดต่อทางเฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ วอทแอป สแนปแชท ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลายช่องทาง รวมไปถึงการให้บริการ Mobile banking เช่น การโอนเงิน เช็คยอดเงิน ซื้อขายของ ซึ่งทำให้ชีวิตของเราสะดวกสบายขึ้นเยอะเลย

ยุค 4G เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพขึ้น อย่างเช่น การพัฒนาในเรื่องความเร็วในการรับส่งข้อมูล ที่ทำได้เร็วขึ้นถึง 100 Mpbs เลยทีเดียว สำหรับความเร็วขนาดนี้นั้น ทำให้สามารถใช้งานโทรศัพท์มือถือ หรือ Tablet ของคุณได้หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การดูไฟล์วีดิโอออนไลน์ด้วยความคมชัด และไม่มีการกระตุก, การสื่อสารข้ามประเทศ อย่างโทรศัพท์แบบเห็นหน้ากันแบบโต้ตอบทันที

วิวัฒนาการของโทรศัพท์ในยุคต่างๆ ที่เรานำเอามาเสนอ เหมือนกับการได้ย้อนกลับไปรำลึกถึงความหลังที่ว่าเราผ่านการติดต่อสื่อสารแบบใดมาแล้วบ้างจุดเริ่มต้นของมือถือ จากแรกๆเน้น โทรเข้า-โทรออกได้ จนกลายมาเป็นมือถือที่สามารถท่องโลกอินเตอร์เน็ต ดูหนัง เล่น social network และอื่นอีกมากมาย คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะเข้าสู่ยุค 5G กันแล้ว ก็ต้องมารอลุ้นกันว่าโทรศัพท์จะพัฒนาไปได้ขนาดไหนกันค่ะ

 

ขอบคุณแหล่งที่มา checkraka.com

วิวัฒนาการขั้นสุดของปากกา s pen Galaxy Note 9 มีอะไรใหม่บ้าง

ปากกา S Pen ถือเป็นดีเอ็นเอของ “กาแลคซี่ โน้ต” เพราะนอกจาก S Pen จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองได้อย่างอิสระแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ซัมซุงพัฒนาขึ้นมาเพื่อฉีกกฎเกณฑ์และลบภาพจำเดิมๆ ของสมาร์ทโฟนขึ้นไปอย่างสิ้นเชิง จากเมื่อก่อนที่เคยเป็นเพียงอุปกรณ์ในการขีดเขียนหรือวาดรูปทั่วไป โดย S Pen เจเนอเรชั่นล่าสุดนี้ จะมาพร้อมกับความสามารถที่มากขึ้นและการควบคุมอันยอดเยี่ยมเพียงแค่คลิก

ปากกา s pen

ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อกับบลูทูธแบบ Bluetooth Low-Energy (BLE) ทำให้ S Pen สามารถสั่งการเสมือนรีโมทคอนโทรล โดยการกดปุ่ม S Pen เพื่อถ่ายรูปเซลฟี่ หรือรูปหมู่ กดเปลี่ยนสไลด์พรีเซนเทชั่น กดบันทึกเสียง กดหยุดหรือเล่นวีดีโอ และอื่นๆ อีกมากมาย

  • Camera : ใช้เป็นรีโมทชัตเตอร์ กดถ่ายภาพจากระยะไกลถึง 10 ม. (แต่จากการทดสอบจริงพบว่าได้เกือบ 30 ม. เลยทีเดียว)
  • Presentation : ใช้กดเปลี่ยนสไลด์สำหรับการใช้งาน Presentation
  • Entertainment : ใช้กดเพื่อเล่น – หยุด – เปลี่ยนเพลงหรือวิดีโอได้จากแอปต่างๆ
  • Cuztomized Clicks : ตั้งค่าได้ว่าเมื่อกดปุ่มแล้วจะเป็นการสั่งงานอะไรบ้าง

ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาจากรุ่นก่อน

  • Bluetooth module & antenna : คือส่วนที่ปล่อยสัญญาณ และเสารับสัญญาณ Bluetooth สำหรับรับส่งกันระหว่างตัวปากกาและตัวมือถือ
  • S Pen Button : ปุ่มกดบนปากกา สำหรับการสั่งงานต่างๆ ที่ได้บอกไปข้างบน
  • Super Capacitor : แหล่งพลังงานของ S Pen ซึ่งเป็นตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้เซลล์ไฟฟ้าเคมีเหมือนกับแบตเตอรี่ทั่วไป ทำให้มันมีขนาดเล็กและสามารถชาร์จประจุได้ไวสุดๆ (จากการทดลอง ใช้เวลาแค่ 20 วินาที ก็เต็มแล้ว)

 

และนั่นก็คือความสามารถของปากกาเทพ S Pen รุ่นใหม่ของ Galaxy Note 9 ที่ได้รับการอัพเกรดขึ้นมาจาก Galaxy Note รุ่นก่อนๆ ใครที่อยากจับจองเป็นเจ้าของตอนนี้มีวางจำหน่ายเรียบร้อยทั่วประเทศแล้วนะคะ

 

แหล่งที่มา https://www.aripfan.com/new-samsung-galaxy-note-9-with-s-pen-bluetooth-2018/

การอัพเกรดที่ใหญ่ที่สุดของปากกา S Pen Galaxy Note 9 กับความสามารถที่หลากหมายมากยิ่งขึ้น

            ปากกา s pen samsung note 9 ด้ามใหม่แกะกล่องที่เป็นผลงานล่าสุดของ Samsung ที่ตัดสินใจใส่ฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อสัญญาณบลูทูธเข้ามาให้ด้ามปากกา ซึ่งทำให้มันเป็นปากกาที่มากความสามารถมากขึ้นอีกเยอะเลย แต่หลายๆ คนอาจจะยังงงว่า มันสามารถใช้งานอะไรได้บ้างในการเพิ่มเติมเข้ามาในครั้งนี้บน Galaxy Note 9

s pen samsung note 9

 

              หลักๆ แล้ว ต้องรู้ก่อนว่า สัญญาณบลูทูธที่ตัว S-pen ใช้อยู่นั้น เป็นเทคโนโลยีที่ชื่อว่า “บลูทูธพลังงานต่ำ หรือ BLE (Bluetooth low energy) ซึ่งมีจุดเด่นตามชื่อของมัน นั้นคือการใช้พลังงานในการเชื่อมต่อต่ำมากๆ ฉะนั้นแล้วในตัว S-Pen จึงแทบจะไม่ต้องห่วงเรื่องขนาดของแบตเลย การชาร์จเต็ม 100% โดยใช้เวลาในการชาร์จแต่ละครั้ง แค่เพียง 40 วินาทีเท่านั้น เร็วพอๆ กับการดื่มน้ำหนึ่งแก้วแบตก็เต็มแล้ว

 

ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อกับบลูทูธแบบ Bluetooth Low-Energy (BLE) ทำให้ S Pen สามารถสั่งการเสมือนรีโมทคอนโทรล โดยการกดปุ่ม S Pen เพื่อถ่ายรูปเซลฟี่ หรือรูปหมู่ กดเปลี่ยนสไลด์พรีเซนเทชั่น กดบันทึกเสียง กดหยุดหรือเล่นวีดีโอ และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยเพียงปลายนิ้วของผู้ใช้งาน นอกเหนือจากนี้ จะเปิดโอกาสให้เหล่านักพัฒนาแอพพลิเคชั่นออกแบบการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ผ่านการเชื่อมต่อแบบ BLE ภายในปีนี้อีกด้วย

 

แหล่งที่มา https://www.appdisqus.com/2018/07/02/the-s-pen-samsung-galaxy-note-9-biggest-update-ever.html

เทคนิคการถ่ายภาพวิวสถานที่ท่องเที่ยว ด้วยมือถือให้สวยขั้นเทพ

            ในยุคนี้ต้องยอมรับเลยว่าความสามารถและความคมชัดของกล้องถ่ายรูปบนมือถือนั้นมีคุณาพสูงมากๆ ไม่ว่าจะชัดตื้นละลายฉากหลังได้ ถ่ายแสงน้อยได้ชัด หรือแม้แต่ถ่ายภาพเคลื่อนไหว เรียกได้ว่าครบแทบจะเทียบเท่ากับกล้องถ่ายรูปได้เลย วันนี้เลยขอนำเทคนิคการถ่ายภาพวิวหรือสถานที่ท่องเที่ยวด้วยมือถือ” ให้สวยขั้นเทพมาฝากกันค่ะ

 

มือต้องนิ่ง ถือมือถือ ให้มั่นคง และควรถ่ายภาพในแนวนอนเสมอ นี่เป็นกฏเหล็กของการถ่ายภาพด้วยมือถือเลยทีเดียว พยายามถ่ายในแนวนอนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

ปรับโหมดเป็น HDR โหมด HDR จะแสดงภาพใน 3 ลักษณะคือแสงน้อย ภาพจะมืด แสงมากเกินไปซึ่งภาพจะสว่างมาก และอีกภาพ จะเป็นสภาพแสงที่อยู่ตรงกลาง หลังจากนั้น มันก็จะรวมสิ่งที่ดีที่สุดของแต่ภาพออกมา เพื่อให้ได้ภาพที่ไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป

 

มือถือ

 

พื้นต้องตรง คนส่วนใหญ่จะไม่สนใจกันเท่าไหร่เรื่องภาพเอียง  เวลาถ่ายออกมาก็ไม่ได้ดูตรงนี้มากนัก แต่จริง ๆ เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากต่อความรู้สึกของภาพทีเดียว ฉะนั้นพยายามถ่ายออกมาให้ภาพตรง พื้นตรง จะทำให้ภาพดูดีขึ้นมามากเลยทีเดียว

 

เลือกจุดโฟกัส  การถ่ายภาพไม่ใช่แค่การกดชัตเตอร์แล้วจะได้ภาพดี ก่อนกดชัตเตอร์ ควรเลือกจุดที่เราต้องการโฟกัสทุกครั้ง ซึ่งกล้องทุกตัวก็มีฟั่งชั่น Auto Focus อัตโนมัติมาให้ แต่มันก็เป็นการโฟกัสแบบกระจายทั้งภาพ

 

แสงเป็นสิ่งสำคัญ บางคนอาจยังไม่รู้ว่าแสงเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการถ่ายภาพไม่แพ้สิ่งอื่น ๆ เพราะถ้าถ่ายในช่วงที่แสงไม่เป็นใจ ก็จะได้ภาพที่ไม่สวย ทางที่ดีคุณควรมองหาแสงสวย ๆ จากแหล่งต่าง ๆ เช่น แสงของดวงอาทิตย์ แสงสะท้อนจากวัตถุต่าง ๆ และเงา เป็นต้น

 

ถ้าเราเข้าใจการทำงานพื้นฐานการถ่ายภาพเบื้องต้นของกล้องบนมือถือแล้วล่ะก็ รับรองว่าการถ่ายภาพวิว หรือสภานที่ท่องเที่ยวของคุณจะสวยขึ้นมากเลยทีเดียวค่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก http://letterplanet.com

กล้องคู่อัจฉริยะจาก Samsung Galaxy Note 9 ทำอะไรได้บ้างไปดูกัน

หลังจากที่ Samsung Galaxy Note 9 ได้เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา อีกหนึ่งจุดเด่นของ Galaxy Note 9 นั่นก็คือ กล้องคู่อัจฉริยะ ซึ่งเค้าว่ากันว่า กล้อง galaxy note 9 สามารถตรวจจับและแต่งภาพอัตโนมัติ พร้อมแจ้งเตือนให้ถ่ายใหม่หากภาพไม่สวยได้ จะจริงอย่างที่ได้ยินมาไหมวันนี้ไปดูกันค่ะว่า กล้อง note 9 มีอะไรใหม่และสามารถทำอะไรได้บ้าง

กล้อง note 9

รูรับแสงคู่ รูรับแสงคู่ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับแสงโดยรอบเหมือนดวงตามนุษย์ มีให้เลือกสองโหมดโฟกัสระหว่าง F1.5 เมื่อต้องถ่ายภาพในที่แสงน้อยให้สว่างขึ้น และโหมด F2.4 ช่วยให้มั่นใจว่ารูปถ่ายของคุณจะออกมาชัดเจน

 

HDR ในที่แสงน้อย เก็บทุกสีสัน แม้ในที่แสงน้อย ถ่ายภาพให้คมชัด และสดใสด้วยกล้องที่ไม่กลัวแสงน้อย ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษารายละเอียดไว้ในรูปทั้งแสงกลางวัน ย้อนแสง หรือแม้แต่ในเวลากลางคืน ความสามารถของ HDR ใน Galaxy Note9 จะลด Noise เพื่อให้รายละเอียดชัดเจนและให้สีสดใสไม่ง้อแสง

 

เลนส์คู่ ด้วยกล้องคู่ความละเอียด 12MP มาพร้อมเลนส์ซูม 2 เท่า การทำงานร่วมกันของเลนส์มุมแคบ และเลนส์มุมกว้างช่วยให้ได้ทั้งภาพกว้างเพื่อให้เห็นรายละเอียดทั้งหมด และภาพแคบให้คุณขยายในสิ่งที่สำคัญ

 

Live focus ในที่แสงน้อย เพิ่มความน่าสนใจให้กับรูปเพื่อนๆ และครอบครัวของคุณ โดยการเบลอฉากหลัง กล้องของ Galaxy Note9 จะตรวจจับบริเวณแสงน้อย และถ่ายภาพครั้งละหลายๆภาพ แล้วนำภาพมาผสมเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่คมชัดที่สุด จากนั้นคุณสามารถเปลี่ยนไฟพื้นหลังเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ตามต้องการ

 

โปรแกรมปรับแต่งภาพ โปรแกรมปรับแต่งภาพในกล้องด้านหลังจะทำการตรวจจับวัตถุในเฟรมอย่างชาญฉลาด จากนั้นแสดงผลลัพธ์ให้เลือกมากถึง 20 โหมด เช่นโหมดดอกไม้ โหมดอาหาร และอื่นๆ เพื่อช่วยเพิ่มความเหมาะสมให้ภาพ เหมาะกับเรื่องราวของคุณ

 

ตรวจหาข้อบกพร่อง ป้องกันภาพหลับตา และภาพเบลอ ด้วยระบบการตรวจจับข้อบกพร่องในกล้อง Galaxy Note9 จะตรวจจับและคอยเตือนทุกครั้งหากพบการกะพริบตา ภาพเบลอ เลนส์สกปรก และภาพย้อนแสงได้อย่างชาญฉลาด เพื่อให้คุณสามารถปรับแก้ และถ่ายใหม่

 

ถ่ายเซลฟี่ไม่เหมือนใคร ปากกา S Pen ที่มาพร้อม Bluetooth ง่ายๆ เพียงกดปุ่มที่ปากกาก็ถ่ายภาพได้เลย ครอบคลุมถึงระยะ 10 เมตร

 

ทั้งหมดนี้เป็นความสามารถใหม่ของกล้อง Galaxy Note 9 ที่เพิ่มเข้ามาเสริมความเก่งให้มากขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีก ใครที่อยากเป็นเจ้าของก็สามารถไปจับจองกันได้ที่ ซัมซุงแบรนด์ช็อปและผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือต่างๆได้นะคะ

 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/smartphones/galaxy-note9/camera/