เผยความเจ๋งของ s pen note 9 ปากกาอัจฉริยะสามารถทำอะไรได้บ้าง
ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับเรือธงที่มาพร้อมปากกาจากค่าย Samsung อย่าง Galaxy Note 9 ซึ่งหากพูดถึงจุดเด่นของ Galaxy Note 9 ที่หลายคนกำลังให้ความสนใจกันอยู่นั้น หลัก ๆ คงจะเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจาก S Pen note 9 เพราะได้มีการปรับปรุงเพิ่มฟีเจอร์ลูกเล่นต่าง ๆ ให้โดดเด่นกว่ารุ่นก่อน ๆ ค่อนข้างมากเลยทีเดียว วันนี้ไปดูกันว่าปากกา note 9 มีอะไรใหม่และสามารถทำอะไรได้มากกว่ารุ่นก่อนบ้างไปดูกันเลยค่ะ
ควบคุมทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
S Pen นำเทคโนโลยี Bluetooth มาใช้ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นรีโมทให้ Galaxy Note9 ของคุณ สามารถถ่ายภาพ เปลี่ยนหน้าพรีเซนเทชั่น เล่นหรือหยุดวีดีโอบน YouTube ได้โดยกดปุ่มที่ปากกา หรือจะตั้งค่าการควบคุมแบบกำหนดเองก็ทำได้ การชาร์จ S Pen สามารถทำได้ง่ายๆเพียงแค่เสียบกลับเข้าไปใน Galaxy Note9 เพียง 40 วินาที ก็สามารถใช้ต่อเนื่องได้นาน 30 นาที
สัมผัสเป็นธรรมชาติ
จะร่าง หรือออกแบบ ให้ไอเดียของคุณเป็นจริงด้วย S Pen ที่มีความไว ตอบสนองเร็ว ควบคุมง่าย ด้วยหัวปากกาขนาด 0.7mm และรองรับแรงกดได้ถึง 4096 ระดับให้สัมผัสที่แม่นยำ ความรู้สึกที่เช่นเดียวกับการวางปากกาลงบนกระดาษ
ใช้เป็นรีโมทกล้องถ่ายรูป
ถ่ายภาพของคุณในมิติใหม่ ด้วยคุณสมบัติเป็นรีโมทควบคุมกล้องจากระยะไกลของ S Pen จากนี้ คุณไม่ต้องรีบร้อนเพื่อให้ทันนาฬิกานับถอยหลัง หรือไม่ต้องพยายามยืดสุดเเขนเพื่อถ่าย selfie หรือดิ้นรนเพื่อเก็บภาพ เซลฟี่เพื่อนให้ครบทุกคนแม้ S Pen จะอยู่ห่างจาก Galaxy Note 10 ไกลสุดถึง 10 เมตร
ควบคุมการนำเสนอสั่งการสไลด์โชว์
เชื่อมต่อ Galaxy Note9 กับ Samsung DeX เพื่อเปิดงานนำเสนอ จากนั้น เปลี่ยนสไลด์ด้วย S Pen 1, 2 สร้างความประทับใจที่ยิ่งใหญ่ จากการกดปุ่มเล็ก
ควบคุมการเล่นสื่อบันเทิง
ปุ่มบน S Pen สามารถใช้กดเพื่อควบคุมการเล่นเพลงหรือวิดีโอได้ โดยการกด 1 ครั้งจะใช้สั่ง Play/Pause และถ้ากดย้ำ 2 ครั้งจะเป็นการเลื่อนไปเล่นไฟล์ถัดไป
จดได้ทันที ไม่ต้องเปิดหน้าจอ
คุณสามารถเขียนได้ทันทีขณะจอดับโดยไม่ต้องปลดล้อคหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นรายการที่ต้องทำ หรือข้อความเตือนความจำ ลายเส้นจะเป็นสีเดียวกับสีของปากกา S Pen ที่กำลังใช้เขียนอยู่ เเล้วเมื่อคุณต้องการเปิดดูมันอีกครั้งในภายหลัง ให้ปักหมุดไว้ที่ Always On Display หรือเปิดหาในแอป Samsung Notes
ตั้งค่าแบบกำหนดเอง
การตั้งค่าฟังชั่นของ S Pen ในเเบบของคุณสามารถทำได้ง่ายๆ ไปที่ การตั้งค่า เลือกวิธีการควบคุมแอป เช่น การกดปุ่มค้างไว้เพื่อเปิดแอปกล้องถ่ายรูป และกด 2 ครั้งติดกันเพื่อเปลี่ยนจากกล้องหลังเป็นกล้องหน้า
กันน้ำกันฝุ่น
ปากกา note 9 S Pen มีคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 เช่นเดียวกับตัวเครื่อง Galaxy Note 9 จึงสามารถใช้งานได้ตลอดทุกที่ทุกเวลาทุกสภาพอากาศ สบายหายห่วง
สำหรับใครที่สนใจ Galaxy Note 9 สามารถสั่งจองได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 21 สิงหาคมนี้ โดยผู้ที่สั่งจองล่วงหน้าจะได้รับสินค้าระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคมนี้ ราคาอยู่ที่ 33,900 บาท มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ Ocean Blue ที่มาพร้อมกับปากกา S Pen สีเหลือง, Metallic Copper และ Midnight Black ค่ะ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/smartphones/galaxy-note9/s-pen/
สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้นของ Samsung Galaxy Note 9 หลังเปิดตัว
สำหรับ Samsung Galaxy Note 9 สุดยอดสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นส่งท้ายปีก็ได้เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมานี้ สำหรับแฟนๆ ชาวไทย ขณะนี้ทาง Samsung Thailand ก็ได้เปิดให้สั่งจองล่วงหน้ากันแล้ว โดย Galaxy Note 9 มีวางจำหน่าย 3 ได้แก่ สีโอเชี่ยนบลู (Ocean Blue) ที่มาพร้อมกับ S Pen สีเหลือง สีเมทัลลิก คอปเปอร์ (Metallic Copper) และสีมิดไนท์ แบล็ค (Midnight Black) โดย galaxy note 9 ราคา 33,900 บาท รับสิทธิพิเศษมากมาย ผ่านหลายช่องทาง
สเปคตัวเครื่อง galaxy note 9 เบื้องต้นหลังจากเปิดตัวมีดังนี้ค่ะ
- หน้าจอแสดงผล Super AMOLED Infinity Display ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ QHD+
- ชิปเซ็ตประมวลผล Exynos 9810 / Qualcomm Snapdragon 845
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 6GB / 8GB
- หน่วยความจำภายใน (ROM) ขนาด 128GB / 512GB พร้อมรองรับการ์ดหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD สูงสุดที่ขนาด 512GB รวมความจุมากถึง 1024GB
- กล้องดิจิทัลด้านหลัง Super Speed Dual Pixel แบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (เลนส์ Wide+Telephoto) พร้อมไฟแฟลช LED, ฟีเจอร์ Live Photo, รองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Dual-OIS, เลือกค่ารูรับแสงของเลนส์ได้ 2 ระดับ F/1.5 และ F/2.4, ฟังก์ชัน Scene Optimization ที่สามารถแยกประเภทซีนได้กว่า 20 แบบ พร้อมปรับสีให้เหมาะสม รวมถึงฟังก์ชันบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง แต่ใช้พื้นที่น้อยลง (H.265) และ Super Slow Motion 960 fps พร้อม Auto Motion Detection นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Flaw Detection ในการตรวจสอบภาพที่ถ่ายว่ามีความเบลอ, ภาพย้อนแสง หรือมีคนในภาพหลับตาหรือไม่ โดยจับการกระพริบตาได้สูงสุง 3 คน
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โดยมีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.7
- แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว และ Wireless Charging
- ระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- เซ็นเซอร์สแกนม่านตา (Iris Scanner)
- คุณสมบัติการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- ลำโพง Stereo แบบคู่จาก AKG และระบบเสียง Dolby Atmos
- Bixby Vision 2
- รองรับการใช้งานพร้อมกัน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- รองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE
ใครที่อยากเป็นเจ้าของ Galaxy Note 9 ในตอนนี้สามารถจองได้ตั้งแต่วันที่ 10 – 21 สิงหาคม 2018 ผ่าน 3 ช่องทางหลักคือ
- ซัมซุงแบรนด์ช็อป ร้านค้าที่ร่วมรายการ เลือกรับของกำนัลมูลค่า 6,000 บาท และรับ S Pen Limited Edition สี Lavender Purple มูลค่า 850 บาท ฟรี พร้อมสิทธิรับประกันหน้าจอแตกนาน 1 ปี ในกรณี ตก แตก ร้าว
- ร้านค้าออนไลน์ เฉพาะลาซาด้า และช็อปปี้ รับสิทธิ์อัพเกรด เพิ่มความจุเป็น 512GB จาก 128GB ได้ในราคาปกติ และรับประกันหน้าจอแตกนาน 1 ปี ในกรณี ตก แตก ร้าว
- ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ รับส่วนลดกว่า 12,000 บาท โดยเป็นไปตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการแต่ละราย
เป็นยังไงกันบ้างกับสเปคเบื้องต้นของ Galaxy Note 9 ใครต้องการเป็นเจ้าของ เล็งสีไหนไว้ ก็อย่าลืมไปจับจองกันได้ทั้ง 3 ช่องทางหลักตามด้านบนได้เลยนะคะ
ที่มา thaimobilecenter.com
นาฬิกา smartwatch สำหรับออกกำลังกายมีดียังไง ?
ความนิยมของการรักสุขภาพและการออกกำลังกายกำลังมาแรง ซึ่งผู้พัฒนาหลายเจ้าก็ได้ผลิตแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับการออกกำลังกายออกมามากมาย เพื่อให้ความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้งานที่รักการออกกำลังกาย แต่บางท่านอาจจะไม่ถนัดมากนักเมื่อต้องถือสมาร์ทโฟนคู่ใจไปออกกำลังกาย ทำให้ท่านที่ออกกำลังกายเป็นประจำหันมาสวม นาฬิกา smartwatch สำหรับออกกำลังกายกันมากขึ้น นาฬิกาออกกำลังกายเหล่านี้จึงมีความสำคัญมากกว่าแค่บอกและจับเวลา หรือเอาไว้ใส่เท่ๆ เท่านั่นไปดูกันว่ามันมีดียังไงกันค่ะ
รู้ถึงความหนักเบาของการออกกำลังกาย
เราได้รู้ว่าแรงที่ทุ่มเทไปกับออกกำลังกายเหมาะกับสมตามเป้าหมายมากน้อยแค่ไหน นาฬิกาออกกำลังกายจึงใช้หลักการแบ่งโซนชีพจรออกมาเป็น 5 โซนเพื่อให้ผู้สวมใส่ได้เข้าใจว่าตนเองกำลังกายออกกำลังกายหนักหรือเบาเกินไปเพื่อนำไปปรับแก้ให้เหมาะสมกับเป้าหมายได้ทันที
รู้แคลอรี่ที่ใช้เผาผาญในชีวิตประจำวัน
เช่น เดินไปซื้อของ , ขึ้นบันไดไปประชุม กิจกรรมเหล่านั้นคือการเผาผาญแคลอนี่ระหว่างวัน แต่ถ้ามานั่งนับเองอาจจะลืมและไม่แม่นยำ นาฬิกาออกกำลังกาย smart watch จึงเข้ามามีบทบาทที่จะทำให้การติดตามแคลอรี่ระหว่างเป็นเรื่องง่ายๆ
ดูผลการออกกำลังกายย้อนหลังได้
หลังจากที่ออกกำลังกายมาเหนื่อยๆสิ่งที่แรกที่จะทำคือการนั่งพักฟื้นเพื่อคูลดาวน์ แต่ถ้ามาให้นั่งย้อนสรุปถึงการออกกำลังกายที่เพิ่งเหนื่อยๆมาคงไม่ปลื้มแน่ๆ แต่ถ้าใส่นาฬิกาออกกำลังกาย ข้อมูลการออกกำลังกายทุกอย่างจะนำมาสรุปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ระยะทาง , เวลา , ค่าเฉลี่ยของชีพจร และแคลอรี่ที่เสียไปขณะออกกำลังกาย
เพิ่มแรงจูงใจให้กับการออกกำลังกาย
นาฬิกาออกกำลังกาย smart watch ถือว่ามีบทบาทสูงที่ช่วยสร้างแรงจูงใจใหม่ๆได้เสมอ ซึ่งผู้สวมใส่สามารถตั้งเป้าหมายได้ด้วยตนเองพร้อมพิชิตเป้าหมายเหล่านั้นได้จริงๆ ดีกว่าการกำหนดเป้าหมายและเก็บไว้ด้วยตนเองและลืมไป
นาฬิกาออกกำลังกายแบ่งออกเป็นหลากหลายรุ่นและมีหลายแบรนด์ ตั้งแต่ใช้งานในชีวิตประจำวันจนไปถึงนาฬิกาที่ใช้งานในด้านการออกกำลังกายแบบจัดเต็ม เพราะหากใช้ได้อย่างถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพแล้ว ก็เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับสตางค์ที่จ่ายไป แถมได้สุขภาพดีกลับคืนมาอีกด้วยนะคะ
เลือกซื้อแท็บเล็ต แบบไหนดีที่เหมาะกับการใช้งานของเรา
ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน มือถือจอใหญ่มีให้เลือกซื้อกันมากขึ้นทำให้ตลาด แท็บเล็ตเริ่มซบเซาลงไปบ้าง แต่ก็ยังมีผู้ใช้อีกหลายรายที่ยังต้องใช้งานแท็บเล็ตกันอยู่ ซึ่งก็มีให้เลือกมากมายหลายรุ่น หลายแบบขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ใช้ หากคุณกำลังมองหาแท็บเล็ตสักตัวอยู่และยังมี่รู้ว่าแท็บเล็ต รุ่นไหนดี วันนี้เรามี Trick ในการเลือกซื้อแท็บเล็ตมาฝากกันค่ะ
ดูที่งบเป็นอย่างแรก คุณต้องตั้งคำถามตนเองก่อนว่ามีงบประมาณที่พร้อมจะจ่ายให้แท็บเล็ตสักเครื่องที่เท่าไหร่ เช่น แบ่งตามช่วงราคา 5,000 บาท 10,000 และ 10,000 บาทขึ้นไป ทำให้คุณสามารถเล็งหาแท็บเล็ตดีๆในราคาที่ต้องการได้เลยค่ะ
จุดประสงค์ในการใช้งาน ขั้นต่อไปคือการสำรวจตนเองว่าต้องการแท็บเล็ตไปทำอะไร เน้นการใช้งานอะไรบ้าง เช่น รับ-ส่งอีเมล, โซเชียลมีเดีย, ดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นเกม ฯ เพราะแท็บเล็ตแต่ละตัวก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป อย่าลืมเลือกให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานของตัวเองนะคะ
ขนาดหน้าจอแสดงผล ยิ่งหน้าจอมีขนาดใหญ่ ก็จะมีพื้นที่การใช้งานที่มากขึ้น แต่ก็อย่าลืมด้วยว่า ยิ่งตัวเครื่องใหญ่แค่ไหน ความสะดวกในการพกพา ก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าขนาด 7 - 8 นิ้วนั้นกำลังพอดีไม่ใหญ่ไปเหมือนเราพกหนังสือเล่มนึง ส่วนจอขนาด 10 นิ้ว นั้นอาจจะเหมาะกับผู้ที่ชอบดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมต่างๆ ส่วนความคมชัดของหน้าจอคนที่ใช้งานทั่วไปอาจจะไม่ต้องใช้หน้าจอที่ละเอียดมากเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่เล่นเกม ดูหนังนั้นอาจจะต้องใช้จอแบบ HD (1280 x 720 ขึ้นไป) เพื่อภาพและสีที่สมจริงในการชมนั่นเองค่ะ
หน่วยประมวลผล คงไม่มีผู้ใช้คนใด ซื้อแท็บเล็ตที่ประมวลผลได้ช้า มาใช้งานกันอย่างแน่นอนโดยทั่วไปแล้วแกนของหน่วยประมวลผลที่ใช้ทำงานหรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า Core นั้นจะมีตั้งแต่ 1 core (Single core), 2 core (Dual core), 4 core (Quad core) และ 8 core (Octa-core) ถ้าดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมหนักๆ แนะนำให้เลือก Quad core หรือ Octa-core เพื่อการใช้งานที่ไหลลื่นไม่กระตุกค่ะ
ความจุของตัวเครื่อง ความจุของตัวเครื่องหรือหน่วยความจำนั้นจะมีตั้งแต่ 8 / 16 / 32 / 64 / 128 GB ซึ่งราคาก็จะสูงขึ้นไปตามความจุของตัวเครื่องนั่นเอง ใครที่ชอบโหลดหนัง หรือโหลดเกมหนักๆมาไว้ในเครื่องล่ะก็ แนะนำให้เลือกความจุที่ 16 GB ขึ้นไปค่ะ
บริการหลังการขาย เงื่อนไขการรับประกันต่างๆ ของเครื่อง ซึ่งถ้าเกิดเราซื้อมาแล้วมีปัญหาไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามเราก็ยังอุ่นใจว่ามีศูนย์บริการรองรับแน่นอน
ประเด็นสำคัญในการเลือกซื้อนั้น อยู่ที่พฤติกรรมการใช้งานเป็นหลักว่า ต้องการซื้อแท็บเล็ตมาใช้งานแบบไหน รวมไปถึงงบประมาณอีกด้วย รุ่นที่มาพร้อมกับตัวเครื่องเร็ว สเปคแรง ย่อมมาพร้อมกับราคาที่สูงเป็นธรรมดา ใครที่ยังลังเลไม่รู้ว่าเลือกแท็บเล็ต ยี่ห้อไหนดี ลองค่อยๆพิจารณาตามความต้องการ และการใช้งานดูได้นะคะหวังว่าคงช่วยทำให้ตัดสินใจเลือกซื้อแท็บเล็ตที่ถูกใจกันได้นะคะ
Trick ถ่ายภาพเมนูอาหาร ให้สวยด้วยสมาร์ทโฟน
นอกจากภาพถ่ายเซฟฟี่ตัวเอง ภาพถ่ายสถานที่ กิจกรรมต่างๆ อีกหนึ่งภาพที่คนมักจะโพสลงโซเซียลนั้นก็คือ ภาพถ่ายอาหารหรือของกินนั้นเองงง ซึ่งสบายๆคนมักจะชื่นชอบการถ่ายรุปอาหารด้วยมือถือถ่ายรูปสวย แล้วนำมาอัพโหลดบน facebook Instagram กันอยู่แล้ว วันนี้ไปดู Trick ถ่ายภาพเมนูอาหาร ให้สวยด้วยมือถือถ่ายรูปสวยกันค่ะ
แสงดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ให้ทำการโฟกัสไปที่แหล่งดำเนิดแสงใดแสงหนึ่ง และให้กำจัดแสงอื่นๆ ออกไปจากภาพให้มากที่สุด ถ้าอยู่ในร้านอาหารที่แสงน้อยให้เลือกนั่งใกล้กับหน้าต่างให้มากที่สุด จะได้แสงที่สวยเป็นธรรมชาติ
รู้มุมถ่าย มุมสูง หรือมุมหน้าตรงเป็นมุมที่สวยที่สุดสำหรับการถ่ายรูปอาหาร นั่นก็เป็นเพราะว่ามือถือถ่ายรูปสวยส่วนใหญ่นั้นใช้เลนส์มุมกว้าง เพราะฉะนั้นการถ่ายภาพในลักษณะนี้จะทำให้ภาพอาหารนั้นออกมาดูดี
อาหารคือดาวเด่นของภาพ ให้พุ่งเป้าการถ่ายภาพไปที่แบ็คกราวน์ของอาหารที่เรากำลังจะถ่าย หลีกเลี่ยงส่วนของพื้นที่ด้านหลังที่จะทำให้อาหารนั้นไร้จุดเด่น ให้ถ่ายภาพอาหารให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้
องค์ประกอบของภาพ หลีกเลี่ยงการถ่ายภาพที่มีส่วนประกอบเยอะๆ ให้พยายามหาพื้นที่ว่างๆใส่ไว้ภาพ เราสามารถถ่ายรูปและ crop บางส่วนของภาพที่น่าสนใจมาใช้งานได้
ถ่ายแบบ Close Up มุมท่าไม้ตายที่ทำให้ได้ภาพของกินยั่วน้ำลายแบบสุดๆ ให้เราทำการตัก หรือคีบ อาหารชิ้นสวยๆ ขึ้นมาหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ซูมเข้าไปใกล้ๆ และกดถ่ายได้เลย
เท, ตัด, จับ, ยืด, จิ้ม, หั่น เมนูไหนที่เราสามารถหั่นได้ควรหั่น จิ้มได้ควรจิ้ม ราดได้ควรราด นอกจากน่ากินแล้วยังช่วยเพิ่มเรื่องราวของอาหารได้ด้วย
เป็นยังไงกันบ้างคะ กับทริคง่ายๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ในการถ่ายภาพเมนูของโปรดให้ดูสวยน่าทานได้ ไม่ว่าจะถ่ายรูปอะไรถ้าเราสนุกและตั้งใจกับมันผลลัพธ์มันก็มักจะออกมาดีเสมอ ขอให้สนุกกับถารถ่ายภาพที่ชอบนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก whatphone.net
หูฟังbluetooth อุปกรณ์เพื่อความสะดวก มีข้อดียังไงบ้าง
ในยุคปัจจุบันมีเทคโนโลยีให้เลือกใช้กันอย่างมากมายเพื่ออำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ซึ่งในส่วนของการใช้งานโทรศัพท์หรือสมาร์ทโฟนก็มีเทคโนโลยีออกมารองรับเช่นกัน ซึ่งเป็นอุปกรณที่นิยมกันมากและใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันนั่นก็คือ หูฟังbluetooth นั่นเองเพราะมีความสะดวกสบายในการใช้งาน ที่ใช้ได้ทั้งการสนทนาโทรศัพท์ ฟังเพลงและในปัจจุบันยังรองรับโซลเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Line หรือ youtube การใช้งานหูฟังบลูทูธ นี้มันดียังไงไปดูกันค่ะ
ไร้สาย
ไม่มีสายมาเกะกะหรือพันกันยุ่งเหยิงในระหว่างการใช้งานหรือสามารถหยิบใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย แถมตัวหูฟังบลูทูธยังสามารถที่จะอยู่ห่างจากอุปกรณ์ได้ราวๆเกือบ 10 เมตร เลยทีเดียว
เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน
แน่นอนว่าคุณไม่ต้องใช้มือหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงหรือกระเป๋าสะพายมาถือเอาไว้ในระหว่างการสนทนาก็สามารถทำให้เรากิจกรรมหรืองานอื่นๆไปพร้อมๆกันในระหว่างการสนทนา
เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้หลากหลาย
การเชื่อมต่อผ่านสัญญาณบลูทูธไม่ได้ถูกจำจัดอยู่ที่โทรศัพท์ สมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์อีกต่อไป เราสามารถนำไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใดก็ได้ที่รองรับสัญญาณบลูทูธ ซึ่งอาจจะเป็นทีวี หรือเครื่องเล่นเพลงต่างๆ
ความปลอดภัย
เป็นอีกเรื่องที่ถือได้ว่าเป็นความสำคัญในระดับต้นๆเลยทีเดียวที่ทำให้เทคโนโนยีบลูทูธได้ถูกคิดค้นขึ้นมา เช่นลดผลกระทบจากคลื่นความถี่ของโทรศัพท์ให้ต่ำลงเมื่อใช้งานผ่านหูฟังบลูทูธหรือเมื่อขับรถแล้วมีสายที่ต้องสนทนาก็ยังให้การขับขี่มีความปลอดภัยเพราะลดความกังวลจากการใช้งานโทรศัพท์ทำให้มีสมาธิในการขับขี่อยู่ตลอดเวลา
หูฟังบลูทูธสามารถสร้างความสะดวก สบาย และมีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง ซึ่งหูฟัง Bluetooth ที่ดี ควรที่จะสามารถใช้งานได้ง่าย เข้าใจง่าย ติดตั้งง่าย เพราะนั่นจะทำให้ชีวิตคุณไม่ต้องพบกับความยุ่งยากซับซ้อนเพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ อย่าลืมเลือกใช้งานอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับรูปแบบการใช้งาน ก็จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.gadgetthai.net
Trick ถ่ายรูปเซลฟี่ ให้ตัวเองดูดี เป๊ะทุกชอต !
การถ่ายรูปลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์กในยุคนี้กลายเป็นกิจกรรมสำคัญในชีวิตประจำวันของทุกคนไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่กิน เที่ยว นอน เพื่อโชว์รูปสวย ๆ ผ่านสื่อ หรือเป็นการอัพเดทตัวเองในเพื่อน ๆ ได้รับรู้และติดตามความเคลื่อนไหว แต่ใครๆก็อยากได้ภาพเด็ดทุกครั้งที่ลง Social Media ของเราแล้วเรียก Like ได้เป็นกอง มาดูเคล็ดไม่ลับการถ่ายตัวเองแบบเก๋ๆให้ดูดีมาฝากกันจ้า
1.หามุมที่ใช่ของตัวเอง
แน่นอนว่าทุก ๆ เช้าภารกิจส่วนใหญ่จะต้องล้างหน้าแปรงฟันส่องกระจก เป็นประจำทุกเช้าอยู่แล้ว ดังนั้นให้ลองฝึกหามุมสวย ๆ ของตัวเอง ลองก้ม เอียง เงยหน้า หรือลองยิ้มดูหลาย ๆ แบบ แล้วจำไว้ว่ามุมนี้แหละที่เราดูดีเป๊ะที่สุด
2. มุมเสยอย่าเลย
ต่อให้หน้าสวยแค่ไหนถ้าใช้โทรศัพท์กล้องหน้าชัดถ่ายเซลฟี่มุมนี้ก็พังทุกรายจ้ะ!ไหนจะรูจมูกนั่น คอ เหนียงมาเต็มหน้าไม่บานก็บานได้นะมุมนี้ทางที่ดีถ่ายจากมุมสูงจะดีกว่าเพราะเป็นการถ่ายรูปมุมกดจะทำให้หน้าดูเล็กลง
3. เช็กหน้า+ผม ให้ชัวร์ก่อนแชะ
ใช่ว่าได้องศาหรือมีมุมสวยแล้วจะทำให้รูปที่ถ่ายดูดีขึ้นได้เสมอไป องค์ประกอบอื่น ๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน จะให้หน้าซีดผมยุ่งเหมือนคนป่วยแบบนั้นก็ไม่ไหว
4. เน้นถือกล้องเอียงมุมต่ำ
ขอบอกว่าเหมาะกับสาว ๆ ที่กลัวว่าหน้าบานเป็นที่สุด แค่ถือโทรศัพท์กล้องหน้าชัดให้กล้องต่ำกว่าระดับหน้าอก แล้วกดคางลงต่ำกว่าเดิมเล็กน้อย เพื่อให้ใบหน้าดูเรียวยาวเรียกง่าย ๆ
5.ไม่มองกล้อง ทำได้ง่ายๆแค่มองซ้ายหรือขวา ดูทางโน้น ดูทางนี้ แบบเผลอๆ ส่วนสีหน้าก็อาจจะทำหน้านิ่งๆ หรืออมยิ้มแบบมีความสุขก็ได้ จะได้รูปเผลอๆที่ดูธรรมชาติแบบชิคๆ
ได้วิธีและเทคนิคดีๆในการเซฟฟี่แบบนี้แล้ว อย่าลืมถ่ายเซฟฟี่มาอวดกันด้วยนะคะ